เกมการแข่งขันระหว่างฟุตบอลโลก ระหว่างเจ้าภาพรัสเซีย ที่มาถึงในรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ อย่างที่ไม่คาดคิดในใจหลายคน เพราะว่าตั้งแต่เกมแรก ในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเค้าก็คว้าชัยเกือบจะรวดทุกเกม ได้เข้ารอบมาเป็นที่สองตามหลังอุรุกวัย
ได้ในที่สุด และนอกจากนั้น การเล่นของรัสเซียก็ไม่ได้ออกมาในแนวที่ อุดหรือตั้งรับ เล่นฟุตบอลไม่สวยงาม ขี้เหล่ แต่อย่างใด แต่ฟุตบอลโลก รอบนี้ทุกคนกลับเห็นได้ว่า เจ้าภาพนั้นมีทั้งทักษะ ฝีเท้า ความมุ่งมั่น อดทน ขยัน และสามัคคีในทีม ร่วมแรงรวมใจกันอย่างแข่งขันฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ ส่วนทางด้านโครเอเชียนั้น เรียกได้ว่า ไม่ธรรมดาเลยเหมือนกัน เพราะว่าตั้งแต่เกมแรกที่พวกเค้าสามารถ เอาชนะอาร์เจนตินาได้ ก็ไม่มีใครกล้ามองข้ามพวกเค้าอีกแล้ว เนื่องจากตามธรรมชาติธรรมดาของทีมจาก ฝั่งสลาฟแล้ว พวกเค้ามีทักษะ และความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะที่ดีมาก ไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว และได้ผลิตนักเตะดีๆป้อนโลกมาทุกยุคทุกสมัย และเคยได้อันดับ 3 ฟุตบอลโลก ปี 1998 มาแล้วด้วยซ้ำ ทีมโครเอเชียชุดนี้ก็เหมือนกันมีการมองว่าพวกเค้าประกอบด้วยนักเตะชั้นดีมากมายที่สามารถรวมตัวกันอย่างพอดิบพอดี และฟอร์มกำลังพีคถึงจุดขีดสุดใกล้เคียงกันด้วย จนขนาดที่อาจจะย้อนรอย 1998 เข้ารอบรองชนะเลิศในปีนี้เลย ใครจะได้เข้ารอบฟุตบอลโลกต่อไป เกมจะเป็นอย่างไรให้เราไปดูรีวิวกันเลยครับ
วิเคราะห์แทคติก
ในเกมนี้ รัสเซียยังคงจัดทีมแบบเดิม คือเน้นเกมรับไว้ก่อน จัดทัพเรียกตัวจริงกลับมาประจำการหมด 5-4-1 เน้นเกมแน่นไว้ก่อนหลังบ้าน ไม่บุกมาก แต่เอาแน่นอนด้วย การใช้กองหลังประสบการสูงทั้งหมด 3 คน นำโดย อิกนาเซวิช กัปตันทีม และมีวิงแบ็คสองข้าง คอยร่วมไล่บอล ปิดพื้นที่และสวนกลับเร็วด้วย นอกจากนั้น พวกเค้ามีนักเตะที่น่าสนใจ อย่าง เดนิส เชริเยฟ ที่เล่นตำแหน่งตัวรุกทางซ้าย คอยทำหน้าที่สวนกลับเร็วให้ ที่ตอนนี้ต้องเรียกว่ากำลังระเบิดฟอร์มในบอลโลกหนนี้เต็มที่เลย เนื่องจากเค้ายิงและจ่ายไปมากมายเหลือเกินแล้ว เกมนี้เค้าก็ได้เป็นตัวจริงอีกด้วย ส่วนทางโครแอทนั้น พวกเค้าก็เรียกได้ว่า จัดทัพตัวจริงครบหมดเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น จอมทัพหน้าอ่อน ลูก้า โมดริช และ คู่ขาในแดนกลาง อิวาน ราคิติช จากสองยอดทีมของโลก ที่มารวมตัวกันในทีมเดียวกันได้ อย่าง รีอัล มาดริด และ บาร์เซโลนา ทำให้เกมแดนกลางของพวกเค้าฉลุยจริงๆ และยังมีแนวรับ ที่เรียกได้ว่าแน่นปึกมากๆ ตั้งแต่เกมแรก โดยมีหัวใจเกมรับเป็น ดยัน ลอฟเรน จากหงส์แดง ลิเวอร์พูล ที่เคยโดนแฟนบอลในไทยหลายคนล้อเลียน และแซวมาจากทั้งโลกว่าชอบทำผิดพลาด ออกลูกเฟอะฟะบ่อยๆ และไว้ในในทีมไม่ได้เลย แต่กลับกลายเป็นว่า เมื่อได้มาล่นใน ฟุตบอลโลก เช่นนี้แล้ว กลับกลายเป็นคนละคน เล่นคนละเรื่องเลย เพราะว่านิ่งแน่นอน สามารถสกัดลูกวินาทีสุดท้ายได้บ่อยๆ และยังเล่นลูกกลางอากาศเป็นหลักด้วย เกมที่ออกมาจึงกลายเป็นว่า โครเอเชีย เหนือกว่า และบุกมากกว่า แต่ทว่าแผนการเล่นของรัสเซียก็ได้ผลจริงๆ เพราะว่าขณะที่โครแอทกำลังบุกเพลินๆ พวกเค้าก็โดนสวนกลับเร็ว และเป็นเดนิส เชริเยฟปีกซ้ายยิงเข้าไปอีกแล้ว นำอย่างพลิกนิดหน่อย ตั้งแต่ต้นเกม เรียกได้ว่า รัสเซียปล่อยของแต่แรกเลย ส่วนทางโครเอเชียก็ไม่ได้รีบร้อน ลนลานแต่อย่างใด ค่อยๆทำเกมไปเรื่อยๆตามแบบตัวเอง และในที่สุดก็ตีเสมอได้ เมื่อลูกเปิดจากกราบซ้ายตัดเข้ามา เป็น ครามาลิช สอดจากตำแหน่งกองหน้าตัวต่ำ เข้ามาโหม่งตีเสมอเข้าไปอย่างสวยงาม และหลังจากนั้น รัสเซียคงจะเห็นว่าอาจจะต้านไม่ได้แล้ว จึงเริ่มกลับมาใช้แผนเดิมของรอบก่อน นั่นคืออุดลูกเดียวทันที และพวกเค้าก็งัดกลเม็ดทุกอย่างในการอุดออกมาใช้จริงๆ ทั้งยืน 11 หลังลูกบอล และให้นายทวารอย่าง อคินเฟเยฟ โชว์ลูกเซฟสวยๆหลายลูกตลอด และยังมีแบบถ่วงเวลาหลุดมาให้เห็นอีกเป็นระยะๆด้วย และแล้วก็ทำให้จบ 90 นาทีแบบทำอะไรกันไม่ได้ในที่สุด จนมาถึงช่วงต่อเวลา30 นาที รัสเซียก็พยายามจะอุดต่อ แต่ทว่าหลังจากโครเอเชีย ได้พักมานิดหน่อยตอนเบรก ก็ดูเหมือนว่านักเตะจะสดชื่นขึ้นทันที และก็มายิงประตูแซงขึ้นนำอีกครั้งได้จากลูกตั้งเตะ ของกองหลังที่เล่นได้ดีอีกคนใน ฟุตบอลโลก ปีนี้ของโครเชียเช่นกัน นั่นคือ วิด้า และเกมก็ทำท่าว่าจะจบในแบบนี้ จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของการต่อเวลาพิเศษ ที่ รัสเซียได้ฟรีคิ้ก และเป็นจังหวะร่อแร่จะตกรอบแล้ว กลายเป็นตัวสำรอง ซาโกเยฟ เปิดลูกนิ่งจากด้านข้างเข้าไป ให้แบ็คขวา มานูเอล แฟนานเดซโขกเข้าไปตีเสมอ 2-2 อย่างเหลือทำให้ต้องดวลจุดโทษกันต่อนั่นเอง .และในการดวลครั้งนี้ นายทวารทั้ง สองทีม อย่าง อคินเฟเยฟ และ ซูบาซิช ต่างพากันเซฤเต็มที่แต่สุดท้ายแล้ว ก็เป็นโครเอชีย เก่งนิ่งบวกดวงกว่า เอาชนะไปได้ 4-3 ทำให้เราได้ชมแมชต์สุดมันไปอีกเกมนั่นเอง