เกมการแข่งขันฟุตบอลโลก ที่สี่ปีครั้ง สำหรับปี 2018 ที่รัสเซีย ได้ดำเนินมาถึงเกมสุดท้ายแล้ว ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่จะเป็นบทพิสูจน์ตัดสินว่า ใครจะเป็นฝ่ายได้คว้ามเกียรติยศอันสูงสุด ในการเป็นยอดทีมหมายเลขหนึ่งของโลก โดยในปีนี้ เป็นการพบกันที่นับว่าไม่มีใครเถียงได้ในความยอดเยี่ยมของทั้งสองทีม ฟากหนึ่งคือ ฝรั่งเศสที่เป็นโคตรทีมมานานหลายสิบปีอยู่แล้ว และปีนี้พวกเค้าสามารถผสมผสานการเล่นได้อย่างลงตัวระหว่าง เด็กดาวรุ่ง อย่าง เอ็มปาเป้ และ กริซซมันน์ กับตัวเก๋าอย่าง ป็อกบา และวาราน หรือ ญอริส แต่น่าสังเกตว่า ทุกคนในทีมแทบจะไม่มีอายุเกินเลขสามเลย แต่กลับล้วนแล้วอยู่ในวัยหนุ่ม และส่วนมากฟอร์มกำลังพีคตอนอยู่ในสโมสรอีกด้วย ที่จริงนับว่าตัวจริง 11 คนในสนามของฝรั่งเศสล้วนแล้วแต่กำลังเล่นกับทีมระดับโลก เช่น รีอัล มาดริด บาร์เซโลน่า หรือว่า เปอสเช ทั้งนั้น และยังมีบางคนกำลังจะได้รางวัลลูกโลกทองคำด้วย เกมนี้พวกเค้าหวังพึ่งมันสมองของโค้ชอย่าง ดิดิเย่ร์ เดอช็องส์ ที่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้วในปี 1998 ในฐานะผู้เล่น กัปตันทีมด้วย ดังนั้น เค้ากำลังจะได้เป็นนักเตะ และ โค้ช คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่จะทำสำเร็จอีกคน ส่วนทางฟากโครเอเชียนั้น พวกเค้าเข้ามาถึงรอบนี้ได้ด้วย หัวใจ สปิริต และฝีเท้าเทคนิคที่คู่ควรแล้วจริงๆ เพราะว่าตลอดทุกรอบของการเล่น พวกเค้าเล่นได้ดี สวยงาม ชาญฉลาด และที่สำคัญเล่นอย่างใจสู้ฝ่าฟันเป็นทีม ดังจะเห็นได้จากการที่พวกเค้าต้องต่อเวลามาถึง 3 เกมรวด เล่น 120 นาที 3 เกม และต้องเจอจุดโทษตัดสินบีบหัวใจ 2 เกมติด แต่ไม่มีอะไรหยุดพวกเค้าได้ และเอาชนะมาได้ทั้งหมด และที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ หลายเกมมากที่พวกเค้าเป็นฝ่ายถูกยิงนำไปก่อน แต่อย่างไรก็ตาม พวกเค้าก็ก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลไปเรื่อย อดทนจนตีเสมอได้ และใช้หัวใจจิตใจที่แข็งแกร่งเป็นหินเพชรเอาชนะการดวลชี้ขาดมาได้ตลอด ดังนั้น เกมนี้จะเป็นนัดชิงชนะเลิศที่น่าจดจำ และมันที่สุดนัดนึงแน่นอน เป็นอย่างไรให้เราไปดูรีวิวกันเลยครับ
วิเคราะห์แทคติก
ในเกมนี้ฝรั่งเศสมาในชุดการเล่นแบบ 4-2-3-4 ด้วยการจัดตัวเต็มสูบ เริ่มจากนายประตูญอริสกัปตันทีมเหมือนเดิม ส่วนแผงหลังนั้นยกชุดเดิม แบบแบ็ค 4 มาตลอดทั้งทั่วร์นาเม้น นับว่าแข็งแกร่งที่สุด และไม่มีใครบาดเจ็บติดโทษแบนเลย นับตั้งแต่แบ็คขวาอย่าง เออร์น็องเดซ และแบ็คซ้ายอย่างปาวาน ส่วนคู่กองหลังตัวกลางสุดแข็งแกร่งจาก รีอัล มาดริด และบาร์ซ่าอย่าง วาราน และอุมติตี้ ทำให้พวกเค้ามีการระเบียบเกมรับที่ดีที่สุดใน ฟุตบอลโลก ครั้งนี้ด้วย ส่วนกองกลางนั้น มีกองกลางตัวรับ 2 ตัวและเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย โดยให้ป็อกบา ลงไปยืนหน้าแผงหลังคู่กันกับ ก็องเต้ แทนที่จะเป็นมาตุยบี้ ทำให้เห็นได้ชัดว่าลำพังก็องเต้ คนเดียวก็แทบจะยากมาที่ศัตรูจะฝ่าเข้าไปอยู่แล้ว เพราะว่าว่ากันว่า เกมไหนที่มีก็องเต้ ลงสนามทีมใดก็ตามแทบจะปิดประตูแพ้เลย ตั้งแต่การเล่นกับเชลซีแล้วยิ่งวันที่เค้าท็อปฟอร์มอย่างมาก เกมนี้ยังเอาความใหญ่ สูง และหนาแบบป็อกบาถอยลงต่ำมาอีกคน จึงนับว่าแทบจะหมดสิทธิยิงแน่ๆแล้วมาตุยดี้ก็โดยเลื่อนไปเป็นกองกลางฝั่งซ้ายทั้งรุกและรับ ทั้งที่เค้าถนัดเกมรับมากกว่า โดยเกมก่อนหน้านี้กับเบลเยี่ยมทั้งสามคนลงเล่นรับเต็มกำลัง แต่เกมนี้ฝรั่งเศสดูจะเน้นบุกมากกว่าเดิม ทำให้เล็งเห็นว่าโค้ชเดอช็องส์ คงกำลังเล็งเห็นอะไรบางอย่าง ที่โครเอเชียมีจุดอ่อนอยู่ ซึ่งจุดนั้นอาจจะเป็นที่ความเหนื่อยล้าจาก 3 เกมแรก ที่ฝรั่งเศสสามารถฉวยโอกาสได้ถ้าลงมือเร็วแต่แรก เริ่มเกมมาไม่นานครึ่งแรกก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะว่าโครเอเชียดูเนื่อยอย่างเห็นได้ชัด ไม่ได้ไล่บอลแบบรอบก่อนๆ และการวิ่งบีบก็ไม่ถึงตัวและเมื่อเสียบอลพวกเค้าเอากลับมาได้ช้ามาก โดยเฉพาะตอนที่โดนโจมตีด้านข้าง พวกเค้าไม่มีกองกลางอย่าง เปริสิช และ เรบิช ลงมาช่วยแบ็คทั้ง 2 ข้างตามปกติ ทำให้ทั้งเอ็มปาเป้ฝั่งขวาและ กริซซ์แมนน์ทั้งซ้ายและกลางเจาะกันอย่างเมามัน และเมื่อเสียลูกนิ่งก็โดนเปิดไป และเป็นมันซูคิชกองหน้าฮีโร่จากนัดก่อนเก้ๆกังๆ ดูไม่พร้อมและขาดสมาธิโหม่งกลับหลังแบบไม่ดีจนเข้าประตูตัวเองไปอย่างน่าเสียดาย ทำให้โดนฝรั่งเศสนำ 1-0 หลังจากนั้นเราเฝ้ารอการตอบโต้ เพราะว่าเมื่อโดนยิงแล้วโครเอเชียจะค่อยๆแผลงฤทธิ์แบบทุกครั้ง และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อเค้าได้ลูกนิ่งบ้าง ก็เป็นจอมทัพโมดริช เปิดบอลลูกตรที่เตรียมมาอย่างดีลอยไปทางเสาไกลให้ กองหลังโหม่งตั้งเข้ามาตรงกลาง และลูกสกัดไม่ดี จนตั้งมาให้เปริสิชที่รออยู่ล็อกบอลหลบ เข้าซ้ายมหากาฬข้างถนัดตัวเองซัดหายเสาไกลสุดสวยตีเสมอในที่สุด เรียกได้ว่าเอกลักษณ์ของพวกเค้าจริงๆ แต่ก็ดูเหมือนว่ากำลังเฉือกสุดท้ายจะมาได้แค่นี้จริงๆ เพราะว่าหลังจากนั้นโครเอเชียก็ยังเร่งเกมให้ขึ้น เพื่อให้โมเมนตัมมากลับได้เปรียบเลย และหลังจากนั้นก็โดนยิงนำอีกจนได้ตอนที่ พวกเค้าขาดสมาธิจากลูกเตะมุมและเป็นฮีโร่อีกแล้ว เปริสิชที่เพิ่งยิงตีเสมอให้ และยิงในนัดเจออังกฤษ กลับมาทำแฮนด์บอลพลาดง่ายๆซะเอง คล้ายๆกับว่าไม่มีสมาธิหรือร่างกายกับใจไม่ไปด้วยกัน แม้กรรมการจะยืนดู VAR อยู่นานแต่ก็ตัดสินใจให้และเป็นกริซซมันน์ซัดเข้าไปนิ่มๆ 2-1 หลังจากนั้นทุกอย่างก็แทบจะไหล เพราะ โครเอเชียโดนสวนกลับขณะกำลังบุกเพลินๆและป็อกบาก็ส่องไกลเข้าไป และก็มาโดนลูก 4 จากฝีเท้าไอ้หนูนรกเอ็มปาเป้ 4-1 แม้ว่าจะมีลุ้นนิดหน่อยตอนที่ญอริสพลาดให้โดนมันซูคิชตัดบอลจากการพยายามล็อคหลบเหน่งๆไปยิง กลายเป็น 4-2 และจบเกมไปแบบนี้ ทำให้หมดความมันส์ไปนิดนึง แต่ในที่สุดเราก็ได้แชมป์โลกรายใหม่เป็นฝรั่งเศสในที่สุด ส่วนโครเอเชียก็เป็นรองแชมป์ฟุตบอลโลกไปอย่างไม่มีอะไรต้องอาย ปิดฉากทัวร์นาเม้นดีๆอย่างแฮปปี้