นักเตะระดับโลกที่น่าจับตาใน World Cup 2018 Russia ปีนี้ Leroy Sane เลรอย ซาเน่
เลรอย ซาเน เป็นหนึ่งในนักเตะที่เป็นดาวดังของพรีเมียร์ลีก ผู้ซึ่งกำลังจะมีส่วนทำให้สโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ของเค้ากำลังจะได้แชมป์อีกสมัย โดยที่เค้าแจ้งเกิดเป็นสตาร์ประจำลีกได้ในปีล่าสุดนี้ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงผสมผสานกับลีลาการลากเลื่อยที่ไม่เหมือนใคร และเป็นปีกแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน ทำให้แฟนบอลทุกคนต่างหลงไหลในตัวเค้ามาก และที่สำคัญเด็กหนุ่มคนนี้มีสิทธิ์ติดทีมชาติเยอรมัน ตัวเต็งในการคว้าแชมป์โลกปีนี้ใน World cup Russia 2018 ที่กำลังจะถึงนี้อีกด้วย
เลรอย ซาเน ในตอนเด็กนั้นเกิดเป็นลูกคนที่ 2 ของ 3 คนในครอบครัวชาวเซเนกัล โดยที่พ่อแม่ของเค้านั้นส่งต่อยีนที่ดีมากด้านกีฬามาให้แน่นอน เพราะว่าพ่อเป็นนักเตะทีมชาติ ส่วนแม่ก็เป็นนักยิมนาสติกเลยทีเดียว นี่ทำให้เลรอย ซาเน มีความสามารถพรสวรรค์ติดตัวแต่เกิด
แต่ยีนก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ เลรอย ซาเน ประสบความสำเร็จกลายเป็นนักเตะ Super Star Player ระดับโลก เพราะว่า พ่อของเค้าเล่นตำแหน่งผู้รักษาประตู ได้โดนลูกๆทั้ง 3 คนชวนและลากให้มาเล่นบอลกันบ่อยๆด้วยความโปรดปรานและทั้ง 2 พี่น้องได้เล่นและรับการอบรมกับพ่อและแม่ที่เป็นนักกีฬาอาชีพ ซึ่งมีวิธีการจัดระเบียบและให้ความเข้มงวดกับการซ้อมการกินและวินัยของการปฎิบัตตนขั้นสูงทีเดียว จนทำให้ได้เข้ากับน้องๆมีไม่เพียงสภาพร่างกายของนักกีฬาแต่ทว่า มีสภาพจิตใจของการเป็นมืออาชีพและทัศนะขั้นสูงจนโค้ชสังเกตเห็นได้เลยทีเดียวถึงอิทธิพลของพ่อแม่เลรอย ซาเน
เลรอย ซาเน ได้รับสิ่งที่มาค่าที่นักกีฬาคนอื่นเมื่อปราศจากแล้วจะแจ้งเกิดยากทีเดียว แม้ว่าคนอื่นๆอาจจะมีเทคนิค หรือ ทักษะวิสัยทัศน์ที่ดีกว่า แต่ว่าไม่มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งแล้วล่ะก็เลรอย ซาเนก็จะไม่สามารถแสดงเอาทักษะพวกนี้ออกมาได้เลยในเกมการแข่งขันขั้นสูง
เลรอย ซาเนในปีแรกๆนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เค้าไม่ได้มีนิสัยเสียแบบพวกคนหนุ่มที่เล่นกีฬาไปด้วย ไปเที่ยวเตร่และปาร์ตี้ไปด้วยเพราะว่าเค้ามีฟุตบอลเป็นงานอดิเรกที่ทำสิ่งเดียวเท่านั้น เมื่ออายุ 14 ปี เค้าได้เข้าฝึกกับทีมเยาวชนกับทีมไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นและ สโมสรชาลเก้ 2 แห่งนี้สลับไปมา และตอนที่ชาลเก้ขอดึงตัวเค้ากลับมานั้น ก็กลายเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่เคยทำมาเลย เพราะเพชรเม็ดงามเม็ดนี้เพิ่มมูลค่ามหาศาลให้สโมสรในภายหลังนั่นเอง
เลรอย ซาเนอยู่ภายใต้การดูแลของหัวหน้าโค้ช เอลแกร์ต ในตอนนั้นและได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมเยาวชนที่ได้แชมป์ของประเทศเยอรมันในปี 2015 และภายใต้โค้ชท่านนี้นี่เองที่ได้เพาะบ่มและฝึกสอนให้เลรอย ซาเนก้าวกระโดดทางด้านความสามารถ เหมือนๆกันกับนักเตะเยอรมันอีกหลายคนที่ได้รับการเจียระไนภายใต้เค้า จนกลายเป็นตัวหลักของทีมชาติ ไม่ว่าจะเป็น นอยแอร์ โอซิล แดรกซ์เลอร์ ทั้งนั้น แต่กระนั้นโค้ชก็ยังมองว่าเลรอย ซาเน มีบางสิ่งที่แตกต่างอย่างแท้จริง เค้าเล่าว่าความเร็วและ การออกตัวแบบระเบิดเถิดเทิงของเค้านั้นเหลือเชื่อมากและเป็นจุดเด่นของเค้า แม้ว่าในตอนนั้นเค้าจะต้องปรับปรุงบางด้านของการเล่น เช่น การยืนตำแหน่ง และการรับรู้รอบตัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาเพราะว่าเค้าพร้อมยอมรับและฟันคำแนะนำอยู่เสมอ
ไปพบกับประวัติดาวดัง World Cup 2018 #1 Leroy Sane เลรอย ซาเน่ กัน
“โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เป็นชาวอียิปต์แท้ๆ และประเทศอียิปต์นี้จริงๆแล้วมาจากทวีปแอฟริกาหาใช่เอเชียอย่างที่หลายๆคนเข้าใจไม่ ดังนั้นแล้วซาลาห์ถือว่าเป็นนักเตะชาวแอฟริกันเพียงไม่กี่คนที่เดินทางมาจากแดนไกลแล้วมีโอกาสเล่นเป็น Super Star Player ให้กับสโมสรดังๆทั่วทวีปยุโรปหลากหลายลีกต่างๆ รวมถึงทีมหงส์แดงลิเวอร์พูล แล้วก็ยังถือว่าทำได้เยี่ยมๆในทุกๆทีมในแต่ละประเทศ แล้วยังใช้เวลาเพียงฤดูกาลแรกฤดูกาลเดียวในสีเสื้อเครื่องจักรสีแดง ก็สามารถพิสูจน์ตัวว่าเป็นขวัญใจหมายเลขหนึ่งของสโมสรได้ ไม่แตกต่างกันเลยกับ ตำนานยุคหลังๆ อย่าง ตอร์เรส หรือ หม่อมเหยิน ซัวเรส เลยทีเดียว ไม่เชื่อถามแฟนหงส์ที่กำลังยิ้มแฉ่งตอนนี้ได้
ซาลาห์ เริ่มต้นอาชีพนักเตะจากสโมสรท้องถิ่นชื่อ เอล โมคาวลูน ที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองไคโร ก่อนจะย้ายไปยุโรปเข้าร่วมกับทีมแรกทดสอบของจริง อย่างสโมสร บาเซิล ทีมชื่อดังในสวิสเมื่อปี 2012 นี้เอง และหลังจากนั้นก็ถือได้ว่าเริ่มต้นการเดินทางเวียนสายเปลี่ยนทีมในลีกยุโรปแบบต่อเนื่องทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น เชลซี ในอังกฤษก่อน,ฟิออเรนติน่า ในอิตาลี, และโรม่าเมืองใกล้เคียง, ก่อนจะมาลงเอยกับหงส์แดงเมื่อกลับมายังอังกฤษอีกครั้ง ณ ปัจจุบันนั่นเอง
แต่ทว่าการเดินทางที่แสนยาวไกลของซาลาห์ หาใช่เรื่องราวธรรมดาไม่ แต่กลับเป็นปฐมบทที่สามารถใช้สะท้อนหลักฐานของความมุ่งมั่นเพียรพยายามที่มีในตัวของเค้า และสิ่งนี้แหละที่เป็นสาเหตุทำให้เค้าถึงได้กลายมาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของโลกเช่นนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
เมืองบ้านเกิดของเค้าต้องใช้เวลาเดินทางด้วยรถบัสจากเมืองไคโร ที่เป็นยานพาหนะเดียวสำหรับเดินทางไกลถึง 100 กม. แถมยังเต็มไปด้วยประชาชนแน่นขนัดทุกๆวัน ทั้งหมดนี้ใช้เวลาถึง 2-3 ชั่วโมงทุกวันสำหรับชาวบ้าน หมู่บ้านของเค้าชื่อ นาจิริ เป็นหมู่บ้านที่เล็กมากๆถึงกับไม่มีป้ายชื่อหมู่บ้านที่ทางเข้าด้วยซ้ำ และถนนที่บ้านของซาลาห์อาศัยและใช้เป็นที่เตะบอลข้างถนนสมัยยังเด็กก็เป็นถนนขรุขระข้างทางมีทุ่งข้าวปลูกเต็มไปหมด ดังนั้น เมื่อดูจากระยะทางรวม 4 ชั่วโมงจากบ้านของครอบครัวเค้าไปจนถึงสโมสรที่เค้าเริ่มต้นเล่นด้วยอย่าง เอลโมคาวลูน ในเมืองไคโร ซึ่งหนุ่มน้อยซาลาห์ต้องเดินทางทุกวันๆไปกลับเล่นฟุตบอล แล้วกลับมาอยู่กับพ่อแม่ตอนสิ้นวัน เราจึงเริ่มเห็นแล้วว่านักเตะหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีความพยายามแค่ไหนเพื่อจะประสบความสำเร็จในชีวิต
ประวัติชีวิตส่วนตัว
เลรอย ซาเนนั้น อาจจะมีความขี้เกียจอยู่บ้างในสนาม แต่เค้าต้องการให้ใครสักคนมาผลักดันและจี้เค้า และเค้าจะฟังแน่นอน เมื่อนั้นแหละที่เค้าจะแสดงฟอร์มออกมาด้วย และหลังจากนั้นก็เป็น โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ นี่แหละที่เข้ามาเป็นผู้ให้กาสได้เล่น เต็มเกมคนแรกในบุนเดสลีกา ชุดใหญ่ เพราะว่าเค้าเห็นบางอย่างตัวของ เลรอย ซาเน เหลือเพียงเวลาที่จะแสดงเต็มที่ในระดับโลก ดิ มัตเตโอยังเปิดเผยว่า สำหรับเค้านั้นมองว่า เลรอย ซาเนมีพรสวรรค์ที่ดิบ และยังไม่ผ่านการเจียระไน และตอนแรกมีบางช่วงที่คิดว่า เลรอย ซาเนคิดว่าตัวเองไปถึงจุดที่สูงสุดแล้วและไม่มีอะไรต้องไขว่คว้าอีก ดิ มัตเตโอเลยต้องทำให้เค้าเข้าใจว่าแค่เล่นดีเกมเดียวก็ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้น ไม่ใช่ว่าจบงานแล้ว ก็เลยต้องใช้เวลาหลายเดือนนานพอสมควร กว่าเค้าจะได้เป็นตัวจริงได้ เพราะว่าเค้าต้องมีความถ่อนตนกว่านี้และก้มหน้าก้มตาเรียนต่อไป และนั่นก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนแท้จริงทีเดียว เพราะว่าเค้าเริ่มยิงประตูสวยๆให้เห็นทันที
เลรอย ซาเน มี 2 ประตูในช่วงจุดเปลี่ยนของชีวิตที่มองว่าการยิงนั้นเปิดเผยพัฒนาการของเค้ามาก ลูกแรกก็คือ ประตูที่ยิงใส่ เรอัล มาดริด ในเกมแชมป์เปี้ยนลีก ที่เบอนาบิว ลูกปั่นของเค้าสยงามมาก นี่แสดงให้เห็นว่าการยืนตำแหน่งของเค้ามาถึงจุดที่ลงตัวและพัฒนาไปถึงที่ระดับโลกแล้ว ส่วนอีกประตูคือการลากเดี่ยวไปยิงใส่โวล์ฟบวก ที่แสดงว่าเค้าเข้าใจแล้วว่าเมื่อไหร่ควรลากเมื่อไหร่ควรกระชากหนีกองหลังนั่นเอง
เลรอย ซาเนทำได้ดีกว่านั้นอีก ในฤดูกาลถัดมา ที่โค้ชคนใหม่ของชาลเก้ เข้ามาทำหน้าที่แทน ดิ มัตเตโอ ซึ่งก็คือ ไบรเทนไรต์เนอร์ มาเวลานี้เค้าให้เนื้อที่กับเลรอย ซาเน เล่นมากกว่าเดิมบนสนามและตอนนี้เมื่อเค้าเล่นให้กับชาลเก้นี่แหละที่ มีความสำคัญมากที่สุดของเค้า เพราะนั้นทำให้เค้าเล่นได้สม่ำเสมอขึ้นและยังยิงประตูเป็นกอบเป็นกำอีกด้วยจนในที่สุดกลายมาเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในทีม แม้แต่โคลาสินัค แบ็คซ้ายของอาร์เซน่อลที่เคยเล่นกับ เลรอย ซาเน ตอนอยู่ทีมเดียวกัน บอกว่า พวกเราเห็นได้ทันทีว่าเด็กคนนี้เร็วมากและมีพรสวรรค์ด้วย เค้าเป็นเด็กดีมากและสนุกสนานเรา 2 คนจึงสนิทและใช้เวลาด้วยกันบ่อยๆ ผมดีใจมากที่เค้าทำได้ดีตอนนี้กับทีมใหม่
ประสบความสำเร็จกับสโมสร
เลรอย ซาเน ก้าวเข้าสู่ความท้าทายใหม่แห่งหน้าใหม่ของชีวิตนักเตะระดับโลก หรือ Super Star Player อย่างเต็มตัวเมื่อปี 2016 เมื่อเรือใบสีฟ้าซื้อตัวเค้ามาร่วมด้วยค่าตัวสูงถึง 37 ล้านปอนด์และไม่นับค่าอื่นๆที่ขึ้นได้อีกตามผลการเล่นในสนาม ทำให้อาจจะสูงถึง 46.5 ล้านด้วยซ้ำ และเค้าได้ลงสนามบ้าง จนมายิงประตูแรกเปิดซิงได้ในเกมที่เจอกับอาร์เซน่อลที่เค้ายิงได้อย่างสวยงามหลังจากที่รอมานาน และวินาทีนั้นแหละที่แฟนบอลๆในไทยเริ่มรู้จักและได้ยินชื่อเลรอย ซาเนมากขึ้นๆ
และเค้ายังได้ลงสนามในการแข่งขันอื่นๆอีกด้วย เช่น เอฟเอ คัพ และบอลยุโรปอีกด้วย และหลังจากที่เค้าเล่นได้อย่างดีในปี 2017 เค้าก็เป็นหนึ่งใน หก นักเตะหนุ่มที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น นักเตะเยวชนยอดเยี่ยมของปีประจำลีกอังกฤษด้วย
สาเหตุที่ตอนแรกที่เค้าย้ายมาอยู่กับเรือใบสีฟ้าและตอนต้นฤดูกาลนั้นยังไม่ได้รับโอกาสและถือได้ว่ายังไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะว่า โค้ช เป๊ป กวาดิโอล่า มองว่าเค้ายังเล่นได้ไม่คู่ควรจะลงสนามเป็นตัวจริง ณ ตอนนั้น เพราะว่า การออกสตาร์ตที่พรี ซีซั่นนั้น เค้าไม่ได้แสดงฟอร์มเข้าตาเท่าไหร่ และนี่ก็เป็นอีกหลักฐานอีกครั้งว่าซาเน่ เป็นนักเตะที่ต้องการการจี้และผลักดันกว่าจะแสดงฟอร์มได้ และก็เป็นกวาดิโอล่า นายใหญ่ชาวเสปนนี่แหละที่ ผลักดันเค้าแบบสุดลิ่ม เพราะว่าเค้าทั้งช่วยเหลือและคิดวิธีการให้ซาเน่เปลี่ยนแปลงวิธีการเล่น จนทำให้พัฒนาไปมากแม้ว่าเค้าจะมีปัญหาบางแง่และแม้ว่าจะดีขึ้นแล้ว เค้าก็ยังโดนจี้โดนไชอีกหลายๆด้านเพื่อให้เก่งและลบจุดอ่อนเข้าไปอีก โดยการโยนความกดดันให้ซาเน่ ทีละเล็กทีละน้อยก็เป็นการระลึกในตัวเองว่ายังมีงานอีกเยอะให้ทำ และซาเน่เองก็ชอบด้วยที่โดนแบบนี้ เพราะเค้าสำนึกว่าตัวเองกำลังได้ทำงานกับโค้ชที่ดีที่สุดในโลกนั่นเอง
และหลังจากที่เค้าล้มลุกคลุกคลานใน 6 เกมแรกที่ได้ลงสนามกับทีมเรือใบสีฟ้า มีเพียงเกมเดียวที่เค้าช่วยทีมเอาชนะได้ และเมื่อถึงจุดเปลี่ยนในเกมเจอกับปืนโต เป็นไปได้ว่าแผนการเล่นของกวาดิโอเล่าเปลี่ยนไปให้ทีมเล่นแบบเพรซซิ่งมากขึ้น และนี่จำเป็นต้องใช้นัเตะที่มีความสามารถในการบีบมากซึ่งมาเหมาะกับเค้าพอดี จากสถิติจะเห็นได้ว่า เค้าติดอันดับบนสุดของเตะที่แย่งบอลได้ คือ 6.4 ครั้ง / 90 นาทีหรือเกมนึง นี่เป็นตัวเลขสูงมากทั้งๆที่ไม่ใช่กองหลัง แถมยังยื่นขาเข้าปะทะแย่งบอลบ่อยถึง 2.2 ครั้ง / เกม แม้ว่าเป็นปีก นอกจากนั้นเราเห็นบ่อยๆว่าเค้าแย่งบอลและตัดบอลจากการเล่นพลาดบ่อยๆของกองหลังฝ่ายตรงข้ามได้ ทำให้ได้บอลมาบุกในพื้นที่อันตรายให้กับทีม ดังเช่น ในเกม ชนะ 4-0 เหนือเวสต์แฮมนั้น เค้าตัดเกมบอลจากโอเนียงและเริ่มเกมบุกนั่นเอง นอกจากนั้น จากตัวเลขของพรีเมียร์ลีก เมื่อคิดเฉลี่ย 600 นาทีที่ลงเล่น ซาเน่สปริ้นออกตัวมากถึง 75 ครั้งต่อเกมสูงที่สุดในลีก เค้ายังได้รับคำชมด้วยถึงตอนที่ไม่มีบอล เค้าดุดันมากในการวิ่งไล่แย่งบอล นี่ทำให้โค้ชชอบมากๆ และตอนนี้แม้ว่าเค้าประสบความสำเร็จแล้ว อย่างไรก็ตามจนถึงตอนนี้ กวาดิโอล่าก็ยังยืนยันว่า ซาเน่จะต้องพัฒนาเรื่องการจ่ายและการตัดสินใจอีกอยู่บ้าง แต่ก็เพื่อเค้าจะกลายเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ทีมชาติ
ส่วนในสีเสื้อทีมชาติเยอรมันซาเน่ ติดทีมชาติชุดต่ำกว่า 21 ปี หรือ U-21 ตั้งแต่ปี 2015 และเล่นในการแข่งขันเยาวชนชิงเชมป์แห่งชาติยุโรปได้อย่างดี จนในปีเดียวกันเค้าถูกเรียกตัวไปติดทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ในเกมแรกคือ กระชับมิตรเจอกับฝรั่งเศส และตอนนี้เค้าติดทีมชาติไปแล้วมากถึง 11 นัดแม้อายุเพียง 22 ปีเท่านั้น และมั่นใจว่าในบอลโลก World Cup 2018 Russia เค้าจะได้มีชื่อติดทีมชุดสุดท้ายและจะโชว์ฟอร์มได้แจ้งเกิดแน่นอน
วิเคราะห์การเล่น
เลรอย ซาเนเป็นนักเตะที่ชอบเล่นปีกตามธรรมชาติ และต้องการที่เล่นกว้างๆไม่แออัด นั่นทำให้ตอนที่กวาดิโอล่าเริ่มใช้ ดาวิด ซิลบาและ เดอ บรอยน์ มาเล่นทำเกมตรงกลางมากขึ้น เลรอย ซาเนก็เริ่มโชว์ฟอร์มออกมากขึ้น เพราะว่าเค้ามีโอกาสจะแอบลอบเข้าไปหลังเส้นกองหลังได้บ่อยขึ้นสร้างโอกาสยิงให้ตัวเอง และหลอกล่อกองหลังให้คนอื่นมีที่ว่างได้ยิงด้วย แต่สิ่งที่น่าวิเคราะห์มากกว่าสำหรับปีกคือการผ่านบอลที่เป็นประตูหรือแอสซิสต์นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น การครอสบอกจากด้านข้างของเค้าทำได้ดีมาก และสวยงามด้วย เราเห็นได้จากการที่เค้ามีส่วนร่วมมากถึง 17 ประตูของทีมเรือใบสีฟ้าปีนี้ และในเกมเจอกับสโต๊ก ซิตี้เมื่อมีลูกหนึ่งที่เค้าครอสบอลให้กับราฮีม เสตอริ่ง นั้นเห็นได้ชัดว่าบอลโค้งหนีผู้ล่นกองหลังเกือบทั้งหมดได้เลย อีกเกมหนึ่งคือ เกมเจอกับ นิวคาสเซิ่ลนั้น แม้ว่าเบนิเตซจะมาด้วยการวางเกมรับแน่นอย่างเห็นได้ชัดโดยมีถึง 6 คนแพ้คอยู่ แต่ซาเน่ก็ไม่มีปัญหาในการกระชากหลบทั้ง 6 คนก่อนจะผ่านบอลครอสไปให้กุนยิงนิ่มๆได้ ถ้าเราลองดูดีๆแต่ะละจังหวะก่อนจะถึงตอนครอสบอลตอนจบนั้น จะเห็นว่าน่าสนใจมากๆ
เลรอย ซาเน เริ่มจากการเคลื่อนที่แบบไวมากระหว่างกระชากบอลผ่าน 2 คนแรกคือ ไฮเดนและซินเชนโก้ของนิวคาสเซิ่ล เค้าวิ่งด้วยวิถีโค้งเหมือนลูกโบวลิ่งกำลังกลิ้งโค้งๆในลานโยนโบลให้ไหลไปที่ช่องว่าง เค้าแตะบอลไปข้างหน้าและลูกบอลก็เหมือนตามติดขาไปแบบมีเวทมนต์ด้วยการควบคุมที่ดีมาก ขณะที่พวกปีกคนอื่นเหมือนจะแตะและวิ่งตามบอลตัวเองให้ทัน แต่ว่าสำหรับเค้าแล้วเหมือนบอลตามเค้ามากกว่า
หลังจากนั้นจังหวะถัดไปที่เค้าผ่านไปเจอนั้น มี เยดลิน และ ลาซเซลล์ เซ็นเตอร์แบ็คยืนรออยู่แล้ว หลายคนคงคิดแทนตอนชมเกมว่า ซาเน่จะทำแบบนักเตะคนอื่นๆมั้ยคือจะตัดเข้าในต่อ หรือ แปะบอลไปหาเพื่อนระหว่างสองตัวเลือกนี้ที่น่าจะเป็น แต่ขณะที่แฟนบอลยังคิดไม่ทัน แน่นอนสมองของซาเน่ตัดสินใจไปแล้ว และไม่ใช่ทั้งสองทางเลือก แต่เป็นการย่อตัวลงหรือที่เรียกว่าปล่อยหัวไหล่ลงเพื่อให้ศูนย์ถ่วงต่ำลงทั้งตัว เพื่อจะออกวิ่งเปลี่ยนทิศทางระหว่างเลี้ยงทะลวงต่อไป ซึ่งที่จริงแล้วยากมากสำหรับนักเตะที่จะทำแบบนี้ขนาดที่สปีดออกวิ่งกำลังไวเต็มที่แล้ว ไม่เหมือนตอนออกตัวใหม่ๆนั่นเอง แถมซาเน่ทำแบบนั้นหลังจากเพิ่งผ่านมา 2 คนด้วย นี่ทำให้เหลือเชื่อมากสำหรับการควบคุมร่างกายระหว่างวิ่งวิ่งเร็วๆได้อย่างลื่นไหลทุกทิศทางของเค้าและผ่านไปอีก 2 คนในที่สุด