เกมการแข่งขันฟุตบอลโลก ระหว่างสองทีมที่เรียกได้ว่า ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ของปีนี้ พวกเค้าจะต้องทำอย่างไรเมื่อทีมหนึ่งเป็นขวัญใจมหาชนอย่าง อังกฤษ ที่แม้ว่าตอนแรกเริ่มทัวร์นาเม้นปีนี้ จะไม่มีใครคาดหวังอะไรมาก และเดาๆกันว่าน่าจะเป็นเหมือนเดิม คือ ดีๆหายๆ และตกรอบไปเองเหมือนการแข่งขันใหญ่ๆทั่วไป แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเค้ามาไกลถึงรอบนี้ จนอดไม่ได้ที่แฟนๆ และ คอบอลอังกฤษชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นแฟนผี หรือ แฟนหงส์ หรือแฟนไก่ แฟนปืน จะหันมาผนึกรวมหัวใจกันเชียร์อังกฤษให้ได้แชมป์โลกให้ได้นั่นเอง แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของพวกเค้าจะไม่ราบรื่น เหมือนเจอหมู เจอเค้ก ในรอบแรกๆที่ผ่านมาแล้ว เมื่อรอบรองนี้ต้องมาเจอกับ อีกหนึ่งทีมที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมาไกลแบบนี้อย่าง โครเอเชีย ที่พวกเค้าแสดงให้เห็นชัดต่อหน้าคนทั่วโลกแล้วว่า พวกเค้าคู่ควรแค่ไหนกับการมาเล่นด้วยทักษะ ฝีเท้า และความสามารถส่วนตัวล้วนๆ แบบที่ไม่ต้องอายใครแม้ว่าชื่อเสียง ของแต่ละคนจะไม่โด่งดังเท่าทีมอื่นๆ ดังนั้น เกมนี้ เป็นพิสูจน์กันว่า โครเอเชียจะทำเหมือนกับครั้งปี 1998 ได้อีกครั้งมั้ย เมื่อพวกเค้าเคยมียุคทองที่ดาวดังรุ่นพี่ตอนนั้น พาทีมไปได้ที่ 3 ของบอลโลกกลับมาจนเป็นตำนานไปหมดแล้ว เกมจะเป็นอย่างไรให้เราไปดูรีวิวกันเลยครับ
วิเคราะห์แทคติก
ในเกมนี้ ทีมอังกฤษ เรียกได้ว่า ทำสงครามก่อนจะเริ่มวางแทคติค บนแผนการเล่นในสนามเลย เนื่องจากสื่อมวลชน และนักข่าวอังกฤษ นั้น เล่นประโคมข่าวไม่ดี และออกไปในแนวดูถูกโครเอเชียด้วยซ้ำ เพราะว่าพวกเค้าต้องเล่นยาวนาน 120 นาที ในรอบ 2 รอบที่ผ่าน เนื่องจากไปจนถึงขั้นดวลจุดโทษเลยด้วย นั่นทำให้ร่างกายของพวกเค้าต้องเหนื่อยล้ามากๆ ขนาดที่ไม่มีทีมไหนใน ฟุตบอลโลก ที่ต้องเตะติดๆกันโหดแบบพวกเค้าอีกแล้ว นอกจากนั้น พวกเค้ายังอาจจะต้องเจอกับปัญหาเรื่องความฟิต และความอ่อนล้าทั้งกาย และที่สำคัญคือทางจิตใจที่เครียด และกดดัน เพราะว่าความลุ้นมาตลอด กว่าจะผ่านเข้ารอบมา และเกมนี้ อาจจะเป็นอีกครั้งก็ได้ที่พวกเค้า จะต้องเล่นยาวนานต่อเวลา 120 นาที หากไม่มีทีมใดเอาชนะได้ ทางโครเอเชียเมื่อได้ยินดังนี้ มีการออกมาเปิดเผยว่า ทั้งทีม และโค้ช คาลิชนั้น ได้อ่านและรับรู้ข่าวสารกับการดูถูกทั้งหมดนี้ จนทำให้พวกเค้าเก็บเอามาเพิ่มเป็นความตั้งใจ และกลายเป็นไฟสุมทรวงที่มุ่งมั่นตั้งเป้าว่า จะต้องเอาชนะอังกฤษที่เย่อหยิ่งทีมนี้ กับชาติที่จองหองให้ได้ และเมื่อเริ่มเกมมา ก็ดูเหมือนว่า ทางทีมอังกฤษนั้นประมาทพอสมควร เนื่องจากพวกเค้า กล้าส่ง ลินการ์ด กับ เดลลี่ อัลลี่ 2 กองกลางตัวรุก ลงมาพร้อมกันเลย ชนิดที่ว่าไม่จำเป็นต้องรับบหรือป้องกันอะไรมากไว้ก่อน ทิ้งให้จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เป็นกลางรับ และกองหลังที่เหลือ 5 คนเล่นเกมรับไป แต่พอเล่นไปๆ ดูเหมือนว่าอังกฤษจะเข้าสู่เกมได้เร็วกว่า และครองเกมมากกว่า ฉวยโอกาสตอนที่โครเอเชียยังเหนื่อยเลยตั้งเกมไม่ติด แต่ว่ากลับไม่ได้เข้าไปลุ้นเสี่ยง หรือได้ยิงในเขตโทษแต่อย่างใด เพราะว่าขาดความสร้างสรรค์ในพื้นที่สุดท้ายนั่นเอง และในที่สุดลูกตั้งเตะ หรือ Set Piece ของพวกเค้าก็ได้ผลอีกครั้ง เมื่อได้เตะกิเปล่าจากบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ที่ระยะทำการพอจะปั่นได้ แล้วก็เป็น ทริปปิเยร์ แบ็คขวา ที่เล่นได้ดีใน ฟุตบอลโลก รอบนี้แจ้งเกิดแล้ว ปั่นไซค์เสียบเสาไกลเข้าไปอย่างสวยงาม ทำให้อังกฤษนำไปก่อน 1-0 และดูเหมือนว่าพวกเค้าจะได้ใจ บวกกับความประมาทขึ้นมานิดหน่อย ทำให้ไม่ทำเกมบุกต่อ แต่เริ่มเล่นเกมรับ เพราะคิดว่าโครเอเชียน่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่ความผิดพลาดที่พวกเค้าสร้างขึ้นตั้งแต่เกมแรก แต่ยังไม่ได้ส่งผล เพราะว่าไม่ได้เจอทีมแข็งๆ ก็มาแผลแตกได้ในเกมนี้ในที่สุด นั่นคือการใช้ ไคล์ วอล์เกอร์ ของไก่เดือยทอง เสปอร์ โยกจากตำแหน่งแบ็คขวา ในสโมสร มาเล่นกองกลังตัวกลาง ในแผนหลัง 3 เพราะเค้ายังเล่นไม่เนียน และไม่ค่อยคุ้นเคยเลย จนทำให้ จังหวะเปิดจากด้านข้างเข้ามา เป็นเค้าที่ทำผิดพลาพยายามก้มตัวโหม่ง เลยโดน อีวาน เปริสิช วิ่งมาจากข้างหลังตัดหน้ากระโดดยิงเข้าไปตีเสมอ 1-1 อย่างสวยงาม และดูเหมือนว่าหลังจังหวะนี้ พวกอังกฤษดูจะช็อคและทำอะไรไม่ถูกเลย จนจบเกมพวกเค้าไม่ได้ยิงตรงกรอบอีกเลย และเมื่อต้องต่อเวลา 30 นาที เกมก็เดาได้ว่า เป็นโครเอเชียที่แซงหน้ามาเอาชนะได้ในที่สุด เมื่อเป็นไคล์ วอล์กเกอร์ อีกแล้ว จับคู่กับยืนเหม่อกับ จอห์น สโตนส์ ไม่มองบอล และ ทริปปิเยร์ แย่งโหม่งไม่ชนะ ทำให้บอลตกในเขตโทษ และเป็นมันซูคิช วิ่งมายิงด้วยเท้าซ้ายสุดคมเข้าไป เป็น 2-1 และจบเกมด้วยการเอาชนะอังกฤษเข้าชิง ฟุตบอลโลก ในที่สุดสมควรแก่การกราบและยกย่องโครเอเชียทีมนี้ที่สุด ส่วนอังกฤษนั้นก็เรียกได้ว่าต้องกลับบ้านเก่าไปเหมือนปีก่อนๆแบบดีขึ้นนิดเดียวในที่สุด