อีกบุคคลนึงที่ลุงเบิร์กยอมรับว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองก็คือ ยอดนักเตะชาวบราซิลอย่าง โซคราเคส ที่เป็นผู้เล่นตลอดกาลในดวงใจของนักเตะที่โด่งดังหลายคนในยุคหลังด้วย นอกจากการเล่นฟุตบอลแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ลุงเบิร์ก ชอบเล่นเป็นกีฬาที่เล่นได้ดีด้วย นั่นคือ ฮ็อคกี้น้ำแข็ง และแฮนด์บอล และถึงกับเคยติดทีมชาติชุดอายุต่ำกว่า 15 ปีของแฮนด์สวีเดนด้วย แต่ในที่สุดแล้วลุงเบิร์กก็เลือกที่จะเอาดีด้านฟุตบอลด้านเดียว แต่ในขณะเดียวกันลุงเบิร์กก็เป็นเด็กที่เอาดีทางด้านเรียนไม่ได้ทิ้งไปเล่นกีฬาอย่างเดียวเช่นกัน ดังเห็นได้จากที่ตอนเค้าเรียนหนังสือที่โรเรียงตอนอยู่เกรด 9 เค้าได้คะแนนผลการเรียนสูงมากอยู่ที่ 4.11 จากคะแนนเค็ม 5 ของระดับทั้งหมด ไม่เพียงแค่นั้นเค้ายังเลือกที่จะเข้ามหาวิทยาลัยตอนอายุ 18 อย่างจริงจังด้วย โดยลุงเบิร์กเลือกเรียนปริญญาทางด้านไอทีคอมพิวเตอร์ และยังเรียนด้านเครษฐศาสตร์อีกด้วย แต่ว่าในที่สุด เค้าก็พบว่าเป็นเรื่องยากที่พยายามสร้างสมดุลระหว่างการเรียนและการเล่นกีฬาควบคู่ไปด้วยกันในตอนนั้น ทั้งเรื่องตารางเวลาสำหรับทำสิ่งต่างๆและกำลังรางกายของตัวเองที่ ถูกเรียกร้องความทุ่มเทมานะอุตส่าหะจากเค้าอย่างมากคัวเค้าเอง จนในที่สุดเมื่อเค้าคิดได้แล้ว ก็นตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยของเค้าในที่สุด เพื่อจะหันมามุ่งแต่เรื่องฟุตบอลอย่างเดียวเท่านั้น
ในปี 1989 หลังจากที่ลุงเบิร์กได้เริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยระหว่างอายุ 12 ปี กับสโมสรเยาวชนของแฮมสตัด บีเค ทางต้นสังกัดจึงต้องการที่จะเลื่อนชั้นตัวเค้าให้ไปเล่นกับชุดอายุ 14 ปี ซึ่งตอนนั้นเป็นนโยบายที่ขัดกับกฎที่วางไว้ของต้นสังกัดแม่อย่าง แฮมสตัด เอฟซี เพราะว่าอายุก้าวกระโดดเกินไป แต่หลังจานั้นไม่นานลุงเบิร์กก็ได้เข้าร่วมกับทีมจูเนียร์อีกชุด ภายใต้การดูแลของโค้ช โรเบิร์ต นอร์ดสตรอร์ม ซึ่งการกล้าเสี่ยงครั้งนี้กับตัวลุงเบิร์กได้ผลตอนแทนที่คุ้มค่า เพราะว่าหลังจากนั้น 3 ปีต่อมา ลุงเบิร์กสามารถแจ้งเกิดกับทีมชุดนี้และได้รับการอนุมัติเห็นว่าฝีเท้าดีพอจะขึ้นไปเล่นกับทีมชุดใหญ่ของแฮมสตัดในที่สุด และแล้วในปี 1994 ตุลาคม เป็นเกมแรกที่ลุงเบิร์ก ได้ลงสนามประเดิมสนามฐานะตัวจริงเป็นเกมแรกที่เจอกับ คู่ปรับทีมใหญ่ของลีกสวีเดนอีกทีมเช่นกัน คือ เอไอเค และภายในปีเดียวจนถึงปี 1995 เค้าได้ลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับทีมชุดใหญ่ไปทั้งหมด 31 นัดด้วยกัน และยังทำประตูแรกกับต้นสังกัดได้อีกด้วย และในปีเดียวกันนั้นเองที่ เค้าช่วยให้แฮมสตัด ทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องในฐานะปีกตัวจริง และเพื่อนร่วมทีมของเค้าก็โชว์ความแกร่งเช่นกัน โดยทุกคนช่วยให้สโมสรตัวเองคว้าแชมป์ สวีดิชคัพ บอลถ้วยประจำลีกสวีเดนไปครองได้ด้วย และในปี 1997 ต่อมา ก็เป็นปีที่สุดยอดในชีวิตนักเตะอาชีพของลุงเบิร์ก มากเข้าไปอีกเมื่อเค้าได้ช่วยให้ แฮมสตัด คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของสวีเดนได้สำเร็จในที่สุด ด้วยการยิงและจ่ายอย่างสม่ำเสมอตลอดปี ถึงแม้ว่าเค้าจะเจออาการบาดเจ็บรบกวนบ้าง และแล้วในที่สุด ตลอดเวลาทั้งหมด 4 ปีด้วยกัน ทั้งหมด 139 เกมที่เค้าได้ลงเล่น ยิงไปทั้งหมด 16 ประตู และยังได้แชมป์อื่นๆหลายรายการกับทีม จนทำให้ชื่อของเค้าเริ่มโด่งดัง และเริ่มมีแมวมองสนใจในตัวเค้า ด้วยหลายทีมในยุโรป ที่มีข่าวพัวพันกับตัวเค้าไม่ว่าจะเป็น บาร์เซโลนา จากเสปน เชลซีจากอังกฤษ หรือ จากอิตาลีเช่นปาร์ม่าด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ ทีมไอ้ปืนใหญ่ อาร์เซน่อล ของโค้ชชาวเมืองน้ำหอมอย่างอาร์เซน เวงเกอร์ ก็จับตาดูลุงเบิร์กอย่างใกล้ชิด และใน World Cup 2018 Russia นับว่าน่าเสียดายเค้าอย่างมากที่ไม่ได้กลับมาลงสังเวียนอีกครั้ง
สารบัญ
ไปพบกับประวัติดาวดัง World Cup 2018 #16 Federik Ljungberg, เฟเดอริค ลุงเบิร์ก กัน
ลุงเบิร์ก ได้รับการเซ็นสัญญาครั้งสำคัญในชีวิต กับทางอาร์เซนอล ของอาร์เซน เวงเกอร์ที่ชื่นชอบในตัวเค้า และต้องการปั้นเค้าให้เป็น Super Star Player อยู่ในขณะนั้นนั่นเอง เค้าตัดสินใจเลือกซบทีมไอ้ปืนใหญ่ด้วยค่าตัวที่ไม่แพงเลยคือ 3 ล้านปอนด์เท่านั้น ในปี 1998 หลังจากทีทีมของเวงเกอร์ ได้ส่งแมวมองประจำสโมสรที่มีสายตาแหลมคม และมีชื่อเสียงเรื่องปั้นนักเตะอย่างมาก เช่น สตีฟ โรวลีย์ไปซุ่มดูฟอร์มของลุงเบิร์ก เป็นเวลาเกือบปีทีเดียว รวมทั้งเกมที่ลุงเบิร์ก เล่นให้กับทีมชาติสวีเดนในการเจอกับทีมชาติอังกฤษ และได้เอาชนะในเกมนั้น จนทำให้ทุกคนประหลาดใจกับผลงานที่ดีมากของสวีเดน รวมทั้งตัวของลุงเบิร์กคนนี้ ซึ่งที่น่าสนใจด้วยคือ เวงเกอร์เองแม้ไม่เคยไปดูลุงเบิร์กเล่นเองกับตาเลยสักเกมเดียว แต่นั่งดูทีวีถ่ายทอดสดเกมนี้อยู่ด้วย ได้อนุมัติให้สโมสรเซ็นสัญญากับลุงเบิร์ก ทันที ซึ่งนับว่าเป็นการดำเนินการที่แปลกต่างจากวิธีของเวงเกอร์โดยแท้ เพราะเค้ามักจะดูฟอร์มนักเตะใหม่อย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองหลายรูปแบบนับสิบๆเกมด้วยซ้ำ นี่จึงนับว่าเป็นการเซ็นนักเตะที่พิเศษอย่างแท้จริง และลุงเบิร์กก็เป็นการปั้นที่หายากด้วย โดยเฉพาะการทำผลงานที่ปีกคนหนึ่งจะเอาชนะนักเตะในทีมชาติอังกฤษได้ ก็แสดงว่าเค้าจะมั่นใจได้ว่าเมื่อลุงเบิร์กย้ายมาเล่นในลีกอังกฤษแล้วจะทำผลงานชนะนักเตะและการเล่นแบบเมืองผู้ดีได้แน่นอนนั่นเอง
ประวัติชีวิตส่วนตัว
แฮร์รี่ เคน เกิดจากพ่อแม่เชื้อสายชาวไอริช ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วนั่นหมายถึง เป็นประเทศ ในถิ่นญาติพี่น้องกับผู้ดี ที่เคยอยู่ในสหราชอณาจักรด้วยกันนั่นเอง แต่พ่อแม่ของเค้าก็ย้ายถิ่นฐานมาอาศัยในเมืองผู้ดี โดยเลือกเอาทำเลที่เมืองหลวงลอนดอนนั่นเอง ทำให้ที่นี่เป็นที่ๆเรียกว่าสถานที่โตมาของ แฮร์รี่ เคน และนั่นหมายความว่าเค้าโตมาพร้อมกับโอกาสที่ได้เรียนรู้ เรื่องภาษา วัฒนธรรม และ ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอังกฤษล้วนๆ และจึงนับได้ว่ามีเชื้อสายเลือดความเป็นผู้ดีอังกฤษมากมายนั่นเอง
ในการสัมภาษณ์เมื่อไม่นานมานี้ แฮร์รี่ เคน ตอนเป็น Super Star Player แล้ว ยังได้เปิดเผยด้วยว่า เค้าน่าจะได้ดีเอ็นเอ การเล่นกีฬาเก่งมาจากฝ่ายแม่มากกว่า แบบไม่กลัวฝ่ายพอเคืองเลย เพราะยกเอาคุณตาที่เคยเล่นฟุตบอลในสมัยก่อนระดับสูงพอสมควร นั่นทำให้ถ่ายทอด ทักษะ และพรสวรรค์มายังเค้า
ที่จริงทั้งครอบครัวน่าจะรักกีฬาฟุตบอลอย่างดีและไปในทิศทางเดียวกันทั้งบ้านด้วย เพราะว่าไม่เพียงพ่อแม่ของเคนจะให้การสนุบสนุนและชอบเหมือนกัน แต่เคนยังมี พี่ชายที่อายุมากกว่าอีกคนชื่อ คล้าร์ค เคน ชื่อคล้ายๆกับซุปเปอร์แมน แต่ก็เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ในชีวิตที่ให้อิทธิพลที่ดีกับเค้าตั้งแต่เล็กๆ เพราะว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก เล่นบอลด้วยกันเสมอ ทำทุกอย่างพร้อมกันๆ ช่วยเหลือกันตลอดไม่ว่ายามยาลำบากหรือยามดังแล้ว จนคนในบ้านเรียกได้ว่า ทั้งคู่เดินไปไหนมาไหนด้วยกันยังกับมีขา 4 ข้างใช้ด้วยกันยังไงยังงั้นด้วยซ้ำ และยังมีเรื่องน่าขบขันของพี่น้องคู่นี้อีกอย่างคือ ทั้ง 2 คนนี้ แฮร์รี่และคล้าร์ค นั้นหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันมาก แม้ไม่ใช่ฝาแฝด นั่นทำให้บางครั้งแฟนบอลเข้าใจผิดบ่อยๆ และมีขอลายเซ็นตามถนนผิดคนกันเสมอๆบ่อย ซึ่งพี่ชายของเค้าก็ชอบเหตุการณ์แบบนี้และเล่นละครตามเสมอๆ
ประสบความสำเร็จกับสโมสร
Super Star Player ลุงเบิร์กทำผลงานในชุดปืนโตสโมสรใหม่ได้อย่างไร้ที่ติและไร้ข้อกังหาเลยทีเดียว แม้ว่าวันแรกที่สนามซ้อมของปืนใหญ่ อาร์เซน่อลนั้นเค้าเดินทางมาถึงในเดือน กันยายน 1998 และแทบจะไม่มีใครในทีมรู้จักลุงเบิร์กมาก่อนเลย แต่ก็ยังไม่มีคนสงสัยมาก เพราะในยุคนั้นเป็นเรื่องปกติที่เวงเกอร์จะโผล่มาพร้อมเพชรเม็ดงามที่ยังไม่ได้เจียระไนเช่นนักเตะโนเนมหลายคนบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่ทีมชุดนั้น มีนักเตะตัวจริงอยู่แล้วที่เพิ่งจะผ่านการเจียระไน และย้ายมาแบบไม่มีชื่อเสียงแต่เริ่มโด่งดัง แล้ว ทั้ง เอมมานูเอล เปอตี หรือ นิโคลาส์ อาเนลก้า และ ปาทริค วิเอร่า ทีมชาติฝรั่งเศสทั้งหลายตระหง่ายกันแล้ว หลายๆคนจึงเชื่อว่จะเป็นเบบนั้นเช่นกันกับลุงเบิร์ก
และลุงเบิร์กก็ไม่ได้ทำให้ทั้งโค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวังเลย โดยเฉพาะแฟนๆที่ใช้เวลาไม่นานก็ชื่นชอบในตัวลุงเบิร์กทันที ด้วยการเล่นที่ยอดเยี่ยมและทุ่มเทในทุกเกมของเค้า หลังจากที่ได้ลงสนามเปิดตัวในเกมแรก ในนัดเจอกับผีแดงและเอาชนะคู่อริไปได้ ในฐานะตัวสำรอง 3-0 ด้วยกัน และที่สำคัญคือ เค้าเข้ามาเล่นในระบบที่เวงเกอร์เพิ่งจะเริ่มวางให้กับทีมด้วยชุดผู้เล่นที่ดีมากพอดีตั้งแต่ๆ นายทวารไปจนถึงกองหน้าระดังพระกาฬเช่น เดนนิส เบิกร์แคมป์ เค้ายึดตำแหน่งปีกขวาหรือซ้ายของทีมหลังจากที่มาร์ก โอเวอร์มาร์ย้ายออกไป และในที่สุด สามารถช่วยให้ปืนโตเป็นดับเบิลแชมป์ในปี 2001-2002 ด้วยถ้วยพรีเมียร์ลีก กับ เอฟเอคัพ โดยมีปีที่วิเศษมากที่สุดในชีวิตนักเตะของเค้า เพราะว่ายิงไปทุกรายการ 17 ประตูจาก 39 เกม ซึ่งส่วนมากนั้น เป็นประตูสำคัญในแต่ละเกมทุกครั้ง และยังเป็นประตูเปลี่ยนเกมที่มีผลต่อแพ้ชนะโดยตรงเลยทีเดียว เช่น ในเกมเอฟเอ คัพ นัดชิงกับ ทีมเชลซีนั้น เค้ายิงประตูจากนอกเขตโทษแบบเหลือเชื่อ และสวยสุดๆด้วยการปั่นเข้ามุมเป้ะๆที่แฟนบอลจดจำมาก และเป็นตอกฝาโลงคู่แข่งไปด้วย
นอกจากนั้น ในลีก ลุงเบิร์ก ได้ชื่อว่าเป็นขาประจำในการยิงใส่ทีมใหญ่ๆอย่างมาก โดยเฉพาะ แมนยู ลิเวอร์พูล เป็นต้น จนทำให้ได้รางวัลนักเตะแห่งฤดูกาลในซีซั่นที่ได้ดับเบิ้ลแชมป์นับเป็นเกียรติอันสูงสุดในชีวิตของเค้าด้วย
ทีมชาติ
นอกจากนั้น ในทีมชาติสวีเดนนั้น ลุงเบิร์ก ติดทีมชาติมากถึง 75 นัดด้วยกันตลอดอาชีพและยิงให้ทีมชาติไปได้ทั้งหมด 14 ลูกด้วยกัน และยังได้เป็นกับตันทันทีด้วยเมื่อเปิดตัวเกมแรก ที่แพ้ให้กับเกมเรือใบสีฟ้าไป 2-0 แบบไม่น่าประทับใจเท่าไร แต่ก็ใช้เวลามากถึง 7 เดือนกว่าเค้าจะยิงลูกแรกให้กับทีมได้ และยังเล่นบ้างหยุดบ้าง จนทำให้ไม่มีโอกาสได้แสดงผลงานดีเหมือนสมัยเล่นกับอาร์เซนอล และในที่สุดก็บาดเจ็บยาวหลังซี่โครงหัก จนต้องยอมยกเลิกสัญญากับสโมสรด้วยความเห็นตกลงกันภายหลังผ่านไปได้แค่ปีเดียวอย่างน่าเสียดาย หลังจากนั้นเค้าก็เล่นกับทีมเซลติกและสโมสรในเมเจอร์ลีกก่อนจะแขวนสตัดถาวร
นอกจากนั้นกับทีมขาติ ลุงเบิร์กเล่นกับทีมชาติทั้งหมด 75 เกม และยิงไปทั้งหมด 14 ประตูด้วยกัน เค้าเล่นเป็นหลักของทีมเสมอตั้งแต่ก่อนย้ายไปเล่นกับปืนโตและยังเข้าร่วมการแข่งขันทัวร์นาเม้นใหญ่ๆกับทีมมากมายเช่น ในฟุตบอลโลกปี 1998 / 2002 / 2006 และยูโร 2004 /2008 อันโด่งดังเสมอ
แต่ก็น่าเสียดายสำหรับลุงเบิร์ก ที่ในการแข่งขันสำคัญเหล่านี้อาการบาดเจ็บมากมายของเค้าก็ยังส่งผลทำให้ไม่สามารถลงเล่นได้อย่างเต็มที่มากเท่าไหร่และต้องนั่งข้างสนามเพื่อลุ้นเพื่อนๆบ่อยครั้งให้เข้ารอบต่อไป แต่เค้าก็ยังได้รับความเชื่อใจเสมอจนในช่วงหลังบอลโลกปี 2006 เค้าได้รับแต่งตั้งให้สวมปลอกแขนกับตันทีมทีมสวีเดนเป็นครั้งแรก และในปี 2008 เค้าก็ประกาศอำลาทีมชาติ จนอดไปเล่น World Cup 2018 Russia ในที่สุดหลังเล่นมามากกว่าสิบปีในที่สุดเพื่อให้นักเตะรุ่นใหม่ได้ก้าวเข้ามาทำหน้าที่ต่อไป
วิเคราะห์การเล่น
ลุงเบิร์กเล่นในตำแหน่งปีกและยังเล่นได้ทั้งทางกราบซ้ายและขวา เพราะเค้าค่อนข้างเล่นได้ทั้งขา 2 ข้างค่อนข้างดี และมีสปีดที่ออกตัวได้เร็วมากแม้ว่าเค้าไม่ใช่แนวปีกชอบกระชากหรือใช้ความเร็วเอาชนะกองหลังเพื่อเปิดบอล แต่มักจะชอบวิ่งสอดเข้ามาจากแถวสองแนวลึกเข้ามาในเขตโทษเพื่อทำประตูมากกว่า เพราะว่าลุงเบิร์กสามารถเล่นเป็นกองหน้าตัวต่ำและกองหน้าตัวที่สองด้วยในบางครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้เค้าได้ใจแฟนบอลมากที่สุดคือ การวิ่งไล่บอลแบบดุดัน เอาเป็นเอาตาย ตั้งแต่กลางสนามไปจนถึงฝั่งตรงข้าม เพราะตั้งแต่เค้าย้ายมาใหม่แฟนๆก็เตะตาที่เห็นเค้าเอาจริงเอาจังในสนามโดยเฉพาะเมื่อต้องไล่บอลในเกมรับเสมอ ในทุกๆเกมดุจดังคนคลั่ง และไล่พัวพันคู่แข่งพยายามเอาบอลมาให้ได้ตลอด เพราะเกมรับกลายเป็นจุดเด่นไป
ส่วนในเกมรุกนั้น ภาพที่คุ้นชินตาอย่างมากคือ ลุงเบิร์กที่มีผมทรงโมฮอว์กสีแดงพุ่งไปในเขตโทษแบบคามิคาเซ่ด้วยความเร็ว จากแดนตัวเองไปจนพาตัวเองเข้าไปในเขตโทษเพื่อเข้าฮอร์ส หรือแปบอลเข้าประตูเหมือนกองหน้าบ่อยๆ นอกจากนั้นเค้ายังครองบอลได้อย่างนิ่งและมีทักษะที่ดีด้วย แม้ว่าไม่ได้เล่นบอลสวยงามหรือเทพมากแบบพวกเมซซี่ โรนัลโด ที่จริงเค้าออกจะดูเก้งก้างไม่เนียนตาด้วย แต่ว่าที่สำคัญคือการยิงประตู เพราะว่าลุงเบิร์กยิงประตูได้คมมากและมีเทคนิคการยิงประตูทุกแบบทั้งแป จิ้ม ยกบอล ล็อบบอล และปั่นบอลอย่างแม่นยำด้วยความเยือกเย็นและนิ่งมากๆ และที่เค้าชอบมากที่สุดคือการมีคนผ่านบอลมาจากด้านข้างแบบเลียดหรือลอยที่ปืนโตชอบสวนกลับกัน จะมีลุงเบิร์กนี่แหละที่อยู่ตอนจบของการประสานงานบ่อยๆเช่นผู้เปิดบอลเป็นอองรี หรือเบิร์กแคมป์ ไม่ก็ปิแรสด้วยซึ่งทั้งหมดเป็น Super Star Player นั่นเอง